ครูโบเปิดวีดีโอให้ชม
การจัดประสบการณ์ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย 3 (2-2-5) กลุ่ม 104 นางสาววรรณนิศา นวลสุข 5511203662
วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556
ครั้งที่14
วิชาการจัดประสบการณ์ทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย
อาจารย์ผู้สอน จุฑาทิพย์ โอบอ้อม
วันศุกร์ ที่13 กันยายน พ.ศ. 2556
ครั้งที่ 14 เวลาเรียน 13.10-16.40 น.
วันนี้มีการเรียนเรื่องการจัดมุม และมีตัวอย่างให้นักศึกษาดู จากนั้น
อาจารย์โบกให้คิดมุมในจินตนาการของแต่ละกลุ่ม โดยแบ่งเป็นกลุ่มละ 5 - 6 คน
กลุ่มดิฉันนำเสนอ "มุมพืชผักสวนครัว"
เมื่อวาดเสร็จก็นำเสนอหน้าชั้นเรียน
ความรู้ที่ได้รับจากกิจกรรม
1. เกิดการจินตนาการในการเรียนรู้
2. ความสามัคคีในการทำงานร่วมกัน
3. ได้ฝึกทักษะและความรู้เรื่องการจัดประสบการณ์ให้เด็ก
3. ได้ฝึกทักษะและความรู้เรื่องการจัดประสบการณ์ให้เด็ก
ครั้งที่13
การจัดสภาพแวดล้อมเพื่อสร้างประสบการณ์ทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย
-สภาพแวดล้อมให้เด็กได้คุ้นเคยกับการใช้ภาษาอย่างมีความหมายขององค์รวม
-เด็กได้ทำกิจกรรมที่สงเสริมทัดษะทางภาษาโดยใช้เนื้อหาทางภาษา
หลักการและความสำคัญของการจัดสภาพแวดล้อม (หรรษา นิลวิเชียน,2535)
-สอดคล้องกับวิชาการเรียนรู้ของเด็ก สงเสริมให้เด็กสำรวจ ปฏิบัติจริงเป็นผู้กระทำด้วยคนเองโดยเปิดอิสระให้เด็ก
-สิ่งแวดล้อมที่สงเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับบุคคลรอบข้าง เด็กควรได้สื่อสารสองทาง
-สิ่งแวดล้อมที่เน้นความหมายมากกว่ารูปแบบควรยอมรับการสื่อสารของเด็กในรูปแบบต่างๆโดยคำนึงถุงความหมายที่เด็ฏต้องการสื่อสารมากกว่าความถูกต้องทางไวทยากรณ์
-สิ่งแวดล้อมที่ประกอบด้วยความหลากหลายทั้งด้สนวาจาและไม่ใช่วาจาเด็กควรได้รับการมีประสบการณ์และปฏิบัติหลายๆรูปแบบ
มุมประสบการณ์ที่สนับสนุนการเรียนรู้และสาระทักษะทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย
. มุมหนังสือ
.มุมบทบาทสมมติ
.มุมศิลปะ
.มุมดนตรี
ฯลฯ
ลักษณะของการจัดมุมในชั้นเรียนที่สงเสริมทักษะทางภาษา
-มีพื้นที่ให้เด็กสามารถทำกิจกรรมได้
-เด็กรู้สึกผ่อนคลาย
-บริเวณใกล้ๆมีอุปกรณ์เครื่องเขียนเช่นดินสอ สี กระดาษ กรรไกร กาว
-เด็กมีส่วนในการวางแผนออกแบบ
มุมหนังสือ
- มีชั้นวางหนังสือประเภทต่างๆที่เหมาะสม
- มีบรรยากาศที่สงบอบอุ่น
- มีพื้นที่ในการอ่านกหนังสือลำพังและเป็นกลุ่ม
- มีอุปกรณ์สำหรับเขียน
มุมบทบาทสมมติ
- มีอุปกรณ์ที่สามารถให้เด็กดข้าไปเล่นได้
- มีพื้นที่เพียงพอ
มุมศิลปะ
- มีวัสดุอุปกรณ์หลากหลายเช่น ดินสอ สี ยางลบ ตรายาง ฯลฯ
- อกรรไกรไว้สำหรับงานตัดและปะติด
- มีพื้นที่เด็กได้จัดกิจกรรม
มุมดนตรี
- มีเครื่องดนตรีทั้งเป็นของเล่นและของจริง เช่นกลอง ฉิ่ง ระนาด ฯลฯ
- สื่อจริง
- สื่อจำลอง
- ภาพถ่าย
- ภาพโครงร่าง
- สัญลักษณ์
ครั้งที่12
อาจารสอนให้ร้องเพลงพร้อมท่าเต้นเพลงหนอนผีเสืื้อ
ต้วมต้วม เตี้ยมเตี้ยม ออกมาจากไข่ เจ้าหนอนตัวใหญ่ลูกใครกันหนอ
กระดึ๊บ กระดึ๊บไป กระดึ๊บ กระดึ๊บไป กระดึ๊บ กระดึ๊บไป กระดึ๊บ กระดึ๊บไป
กระดึ๊บ ดึ๊บไป บนใบไม้อ่อน กัดกัด กินกิน อิ่มแล้วก็นอน แล้วเจ้าหนอน ก็ชักใยหุ้มตัว
กระดึ๊บ กระดึ๊บ กระดึ๊บ ดึ๊บ ดึ๊บ
จากนั้นก็ให้จับกลุ่ม กลุ่มล่ะ 5 คน ให้ช่วยกันคิดเพื่อทำสื่อการศึกษา
ซึ่งกลุ่มดิฉันทำเรื่องป้ายคำศัพท์ โดยบอก
1.วัตถุประสงค์
2.วิธีการใช้สื่อ
3.ประโยชน์ของสื่อ หลังจากนั้นให้ออกมาพรีเซ้นสื่อที่เราทำทุกคน
ความรู้ที่ได้รับ
1. ได้รู้จักการวางแผนก่อนลงมือปฏิบัติกิจกรรม
2. ได้รู้ความสามัคคี การทำงานเป็นกลุ่มต้องร่มมือร่วมใจ
3. ได้ใช้จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ผ่านผลงาน
4. ใช้ทักษะภาษาการสื่อสารระหว่างการทำงาน
ครั้งที่11
ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย
ความหมาย
วัสดุอุปกรณ์หรือวิวัฒนาการณ์ เพื่อกระตุ้นส่งเสริม จูงใจ ให้เด็กสนใจ ด้วยเพิ่มประสิทธิภาพทางการเรียนรู้
เป็นเครื่องมือที่ครูกำหนดเพื่อถ่ายทอดแลกเปลี่ยนเนื้อหา ประสบการณ์ แนวคิด ทักษะ เจตคติ
ความสำคัญของสื่อ
-เด็กเรียนรู้การใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5
-เข้าใจง่าย
-เป็นรูปธรรม
-จำได้ง่าย และ เร็ว
ประเถทของสื่อ
1 สื่อสิ่งพิมพ์
คือใช้วิธีการพิมพ์ เด้กได้เรียนรู้ อักษร ประโยชน์เช่น นิทาน หนังสือพิมพ์ ฯลฯ
2 สื่อวัสดุอุปกรณ์
คือ ของวัสดุต่างๆ ของจริง หุ่นจำลอง แผนที่ แผนภูมิ ตารางสถิติ กราฟ สมุดภาพ ฯลฯ
3 สื่อโสตทัศนูปกรณ์
คือสื่อที่นำเสนอด้วยเครื่องมือ อุปกรณ์ต่างๆ คอมพิวเตอร์ เครื่องเล่นแผ่น ไอแพด ฯลฯ
4 สื่อกิจกรรม
คือวิธีการที่ใช้การฝึกปฏิบัติ ทักษะ ใช้กระบวนการคิด การปฏิบัติการเผชิญสถานการณ์
5 สื่อบริบท
คือสื่อส่งเสริมดารจัดประสบการณ์ สภาพแวดล้อม ห้องเรียน บุคคล ชุมชน วัฒนธรรม
กิจกรรม
ต่อด้วยการประดิษฐ์สื่อภาพตั้งโต๊ะ
ครั้งที่10
กิจกรรมอาเซียน
กลุ่ม 1 หุ่นนิ้วมือ
ข้อดี
- สามารถนำมาร้องเพลงได้
- สามรถนำมาเล่านิทานได้
ข้อเสีย -
กลุ่ม 2 ภาพชัก
ข้อดี
- สามารถนำมาเป็นสื่อสอนเรื่องประเทศต่างๆในอาเซียน
- สามรถนำมาเล่านิทานเกี่ยวกับปนะเทศในอาเซียนได้
ข้อเสีย
- การเจะรูร้อยเอ็นควรประมาณให้ดีเพราะบางครั้งมันจะบังรูปเราได้
- การมัดเอ็นหย่อนเกินไปทำให้หลุดได้
กลุ่ม 3 ป๊อปอัพอาเซียน
ข้อดี
- สามารถนำมาเล่านิทานได้
ข้อเสีย
- ปัยหาการพับปากถ้าพับไม่ดีมันจะขาด
กลุ่ม 4 จับคู่ภาพ
ข้อดี
- นำไปใช้พัฒนาการด้สนภาษาเช่น ภาษากับธงชาติ
- เรียนรู้เรื่องสีต่างๆ
ข้อเสีย -
ข้อดี
- สามารถนำมาร้องเพลงได้
- สามรถนำมาเล่านิทานได้
ข้อเสีย -
กลุ่ม 2 ภาพชัก
ข้อดี
- สามารถนำมาเป็นสื่อสอนเรื่องประเทศต่างๆในอาเซียน
- สามรถนำมาเล่านิทานเกี่ยวกับปนะเทศในอาเซียนได้
ข้อเสีย
- การเจะรูร้อยเอ็นควรประมาณให้ดีเพราะบางครั้งมันจะบังรูปเราได้
- การมัดเอ็นหย่อนเกินไปทำให้หลุดได้
กลุ่ม 3 ป๊อปอัพอาเซียน
ข้อดี
- สามารถนำมาเล่านิทานได้
ข้อเสีย
- ปัยหาการพับปากถ้าพับไม่ดีมันจะขาด
กลุ่ม 4 จับคู่ภาพ
ข้อดี
- นำไปใช้พัฒนาการด้สนภาษาเช่น ภาษากับธงชาติ
- เรียนรู้เรื่องสีต่างๆ
ข้อเสีย -
วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2556
วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556
วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556
วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556
ครั้งที่ 6
เพลงกลอมเด็ก
เพลงไก่เถื่อน
(ภาคใต้)
" ...ไก่เถื่อน เหอ ขันเทือนทั้งบ้าน
ลูกสาวขี้คร้าน นอนให้แม่ปลุก
ฉวยได้ด้ามขวาน แยงวานดังพลุก
นอนให้แม่ปลุก ลูกสาวขี้คร้าน ..."
แปลใต้เป็นกลางได้ความว่า ...
" ...ไก่เถื่อน เอ๋ย ขันสะเทือนทั้งบ้าน
ลูกสาวขี้เกียจ นอนให้แม่ปลุก
หยิบได้ด้ามขวาน ทิ่มก้นเสียงดังพลุ๊ก
นอนให้แม่ปลุก ลูกสาวขี้เกียจ ..."
วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ครั้งที่ 5
นำเสนองาน
การพัฒนาสติปัญญา 2-4 ปี
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรุนเนอร์
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของกาเย่
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์
เพียเจต์ (Piaget) ได้ศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการทางด้านความคิดของเด็กว่ามีขั้นตอนหรือกระบวนการอย่างไร ทฤษฎีของเพียเจต์ตั้งอยู่บนรากฐานของทั้งองค์ประกอบที่เป็นพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม เขาอธิบายว่า การเรียนรู้ของเด็กเป็นไปตามพัฒนาการทางสติปัญญา ซึ่งจะมีพัฒนาการไปตามวัยต่าง ๆ เป็นลำดับขั้น พัฒนาการเป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ควรที่จะเร่งเด็กให้ข้ามจากพัฒนาการจากขั้นหนึ่งไปสู่อีกขั้นหนึ่ง เพราะจะทำให้เกิดผลเสียแก่เด็ก แต่การจัดประสบการณ์ส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในช่วงที่เด็กกำลังจะพัฒนาไปสู่ขั้นที่สูงกว่า สามารถช่วยให้เด็กพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม เพียเจต์เน้นความสำคัญของการเข้าใจธรรมชาติและพัฒนาการของเด็กมากกว่าการกระตุ้นเด็กให้มีพัฒนาการเร็วขึ้น เพียเจต์สรุปว่า พัฒนาการของเด็กสามารถอธิบายได้โดยลำดับระยะพัฒนาทางชีววิทยาที่คงที่ แสดงให้ปรากฏโดยปฏิสัมพันธ์ของเด็กกับสิ่งแวดล้อม
ทฤษฎีการเรียนรู้
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ มีสาระสรุปได้ดังนี้ (Lall and Lall, 1983:45-54)
พัฒนาการทางสติปัญญาของบุคคลเป็นไปตามวัยต่าง ๆ เป็นลำดับขั้น ดังนี้
ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว (Sensori-Motor Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 2 ปี พฤติกรรมของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวเป็นส่วนใหญ่ เช่น การไขว่คว้า การเคลื่อนไหว การมอง การดู ในวัยนี้เด็กแสดงออกทางด้านร่างกายให้เห็นว่ามีสติปัญญาด้วยการกระทำ เด็กสามารถแก้ปัญหาได้ แม้ว่าจะไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด เด็กจะต้องมีโอกาสที่จะปะทะกับสิ่งแวดล้อมด้วยตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพัฒนาการด้านสติปัญญาและความคิดในขั้นนี้ มีความคิดความเข้าใจของเด็กจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เช่น สามารถประสานงานระหว่างกล้ามเนื้อมือ และสายตา เด็กในวัยนี้มักจะทำอะไรซ้ำบ่อยๆ เป็นการเลียนแบบ พยายามแก้ปัญหาแบบลองผิดลองถูก เมื่อสิ้นสุดระยะนี้เด็กจะมีการแสดงออกของพฤติกรรมอย่างมีจุดมุ่งหมายและสามารถแก้ปัญหาโดยการเปลี่ยนวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการแต่กิจกรรมการคิดของเด็กวัยนี้ส่วนใหญ่ยังคงอยู่เฉพาะสิ่งที่สามารถสัมผัสได้เท่านั้น
ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Preoperational Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่อายุ 2-7 ปี แบ่งออกเป็นขั้นย่อยอีก 2 ขั้น คือ
-- ขั้นก่อนเกิดสังกัป (Preconceptual Thought) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็กอายุ 2-4 ปี เป็นช่วงที่เด็กเริ่มมีเหตุผลเบื้องต้น สามารถจะโยงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ หรือมากกว่ามาเป็นเหตุผลเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน แต่เหตุผลของเด็กวัยนี้ยังมีขอบเขตจำกัดอยู่ เพราะเด็กยังคงยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง คือถือความคิดตนเองเป็นใหญ่ และมองไม่เห็นเหตุผลของผู้อื่น ความคิดและเหตุผลของเด็กวัยนี้ จึงไม่ค่อยถูกต้องตามความเป็นจริงนัก นอกจากนี้ความเข้าใจต่อสิ่งต่างๆ ยังคงอยู่ในระดับเบื้องต้น เช่น เข้าใจว่าเด็กหญิง 2 คน ชื่อเหมือนกัน จะมีทุกอย่างเหมือนกันหมด แสดงว่าความคิดรวบยอดของเด็กวัยนี้ยังไม่พัฒนาเต็มที่ แต่พัฒนาการทางภาษาของเด็กเจริญรวดเร็วมาก
ความหมายและความสำคัญของภาษา
เด็กปฐมวัย : เด็กที่มีอายุตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ปีบริบูรณ์
การอบรมและเลี้ยงดูแก่เด็กปฐมวัยมีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากเด็กวัยนี้ต้องการการเรียนรู้ในสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ด้าน จากบิดา มารดา คนรอบข้างและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะส่งผลให้เกิดพัฒนาการที่เป็นรากฐานของบุคลิกภาพ อุปนิสัย และการเจริญเติบโตทั้งทางร่างกายและจิตใจ สมอง สติปัญญา ความสามารถ เพราะเด็กในช่วงตั้งแต่ปฏิสนธิในครรภ์แม่จนถึง 4 ปี ระบบประสาทและสมองจะเจริญเติบโตในอัตราสูงสุด (ประมาณ 80 % ของผู้ใหญ่) การอบรมปลูกฝังสร้างเสริมพัฒนาการทุกด้านให้แก่เด็กปฐมวัยได้เจริญเติบโตเต็มศักยภาพในช่วงอายุนี้ จะเป็นรากฐานที่ดีจะให้เขาเติบโตเป็นเยาวชนและพลเมืองที่ดี เฉลียวฉลาด คิดเป็น ทำเป็น และมีความสุข เด็กปฐมวัยจะมีชีวิตรอดและเติบโตได้ก็ด้วยการพึ่งพาพ่อแม่ และผู้ใหญ่ที่ช่วยเลี้ยงดู ปกป้องจากอันตราย หากผู้ใหญ่ให้ความรักเอาใจใส่ใกล้ชิด อบรมเลี้ยงดูโดยเข้าใจเด็กพร้อมจะตอบสนองความต้องการพื้นฐานที่เปลี่ยนไปตามวัยได้อย่างเหมาะสมให้สมดุลย์กันทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สติปัญญา และสังคมแล้ว เด็กจะเติบโตแข็งแรงแจ่มใส มีความมั่นคงทางใจ รู้ภาษา ใฝ่รู้ และใฝ่ดี พร้อมที่จะพัฒนาตนเองในขั้นต่อไป ให้เป็นคนเก่งและคนดีอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุขและมีประโยชน์
ความเจริญเติบโตและพัฒนาการ
ความเจริญเติบโต (Growth) หมายถึง การเปลี่ยนแปลง ขนาดของร่างกายและอวัยวะ ซึ่งเกิดจากการเพิ่มจำนวนและขนาดของเซลล์และส่วนหล่อเลี้ยง (Matrix) ทำให้รูปร่างเปลี่ยน เช่นมีขนาดใหญ่ขึ้น สูงขึ้น สัดส่วนเปลี่ยนแปลง การเพิ่มจำนวนเช่นฟัน และการเปลี่ยนลักษณะเช่นการเข้าสู่วัยหนุ่มสาว
พัฒนาการ (Development) หมายถึงการเปลี่ยนแปลงด้านการทำหน้าที่ (Function) และวุฒิภาวะ (Maturation) ของอวัยวะระบบต่างๆ รวมทั้งตัวบุคคล ให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำสิ่งที่ยากสลับซับซ้อนมากขึ้น ตลอดจนการเพิ่มทักษะใหม่ๆ และความสามารถในการปรับตัวต่อสภาวะแวดล้อมหรือภาวะใหม่ในบริบทของครอบครัวและสังคม พัฒนาการของมนุษย์จำแนกเป็น 5 ด้านได้แก่
1. ด้านร่างกาย (Physical หรือ Psycho-motor development) หมายถึง ความสามารถของร่างกายใน
การทรงตัวในอิริยาบทต่างๆ และการเคลื่อนไหว เคลื่อนที่ไป โดยการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ (Gross motor) และการใช้ตาและมือประสานกันในการทำกิจกรรมต่างๆ (Fine motor adaptive)
2. ด้านสติปัญญา (Cognitive development) หมายถึง ความสามารถในการเรียนรู้ความสัมพันธ์
ระหว่างสิ่งต่างๆ กับตนเอง การรับรู้ รู้จักสังเกต จดจำ วิเคราะห์ เกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางภาษา (Language) และสื่อความหมาย (Communication) กับการใช้ตากับมือทำงานประสานกันเพื่อแก้ปัญหา (fine motor adaptive)
3. ด้านจิตใจ-อารมณ์ (Emotional development) หมายถึงความสามารถในการรู้สึกและแสดง
ความรู้สึก ความสามารถในการแยกแยะ ความลึกซึ้งและควบคุมการแสดงออกของอารมณ์อย่างเหมาะสม รวมทั้งการสร้างความรู้สึกที่ดีและนับถือต่อตนเอง (Self- esteem) หรืออัตมโนทัศน์
4. ด้านสังคม (Social development) หมายถึง ความสามารถในการสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่น มี
ทักษะในการปรับตัวในสังคม ร่วมมือกับผู้อื่น มีความรับผิดชอบ ความเป็นตัวของตัวเอง และรู้จักกาละเทศะ ในเด็กหมายรวมถึงความสามารถในการช่วยตัวเองในชีวิตประจำวัน (Personal-social)
5. ด้านจิตวิญญาณ (Spiritual development) หมายถึงการเปลี่ยนแปลงความสามารถในการรู้จัก
คุณค่าของชีวิต สิ่งแวดล้อม สุนทรียภาพ วัฒนธรรม และการมีคุณธรรม การรู้จักควบคุมตนเองให้มีความ
อดทนอดกลั้น มีเมตตากรุณา มีความซื่อสัตย์ เป็นต้น
ระยะของการเจริญเติบโต-พัฒนาการ ประกอบด้วย ระยะก่อนคลอด (Prenatal Period) ระยะตัวอ่อน (Embryonic Period) ระยะทารกในครรภ์ (Fetus Period) ระยะหลังคลอด (Postnatal Period) ระยะทารก (Neonatal Period และ Infancy) ระยะวัยเด็กตอนต้น (Toddle และ Pre-School Age) ระยะวัยเด็กตอนกลาง (School Age) ระยะวัยเด็กตอนปลาย (Puberty Period และ Adolescence) วัยผู้ใหญ่ (Early Adulthood และ Late Adulthood) และวัยชรา (Seniority)
การพัฒนาสติปัญญา 4-6 ปี
เด็กวัย 4 -5 ปี มีความมั่นใจในตัวเองมาก เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น สนใจสิ่งรอบตัวที่แปลกใหม่ ฝึกทักษะใหม่ๆ เพราะอยากทำอะไรให้สำเร็จทุกอย่าง ต้องการแสดงความคิดและแสดออกในสิ่งที่คิดซึ่งเต็มไปด้วยจินตนาการ
เด็กวัยนี้มักจะชอบเล่นแบบโลดโผน เพราะมีพัฒนาการทางร่างกายที่ดีขึ้น สามารถทรงตัวได้ดีขึ้น จึงมักคิดว่าเป็นเรื่องท้าทายและมักจะทำอะไรที่ยากๆ เพื่อทดสอบกำลังของตัวเอง
พัฒนาการของกล้ามเนื้อมัดใหญ่เด็กอายุ 4 - 5 ปี
- ก้าวสลับเท้าขึ้นลงบันไดได้คล่อง
- ชอบหมุนตัว แกว่งตัว ตีลังกา ชอบวิ่ง กลิ้ง ปีนบันไดและต้นไม้
- กระโดดขาเดียวได้ไกล 4 -6 ก้าว
- กระโดดจากที่สูง 2 ฟุต โดยเท้าทั้งสองข้างลงพร้อมกัน
- ใช้มือจับลูกบอลได้ดี แทนที่จะใช้แขนรับ
- ถีบรถจักรยานสามล้อและเลี้ยวกลับรถได้
พัฒนาการของกล้ามเนื้อมัดเล็กเด็กอายุ 4 - 5 ปี
- ต่อบล็อคเป็นหอคอยสูงๆ ได้
- ใช้กรรไกรได้ดี ตัดกระดาษตามเส้นได้
- วาดรูปคนได้ มีส่วนหัว ลำตัว แขน และขา จะค่อยๆ พัฒนาการจนเติม ผม หู มือ และเท้า ได้
- คัดลอกตัวอักษรตามแบบง่ายๆ ได้
- ร้อยลูกปัดเป็นสร้อยคอได้ แต่ยังไม่สามารถสนเข็มได้
การส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกายของเด็กวัย 4 – 5ปี
- ให้เด็กได้ทำอะไรด้วยตัวเอง เช่น ใส่เสื้อผ้า ติดกระดุมเสื้อ และผูกเชือกรองเท้าเอง
- หากิจกรรมให้ด็กทำ เช่น ระบายสี ปั้นดินน้ำมัน ดัดลวด ดัดเชือกเป็นรูปทรงต่างๆ หรือต่อภาพจิ๊กซอว์ เป็นต้น
- พาลูกออกไปวิ่งเล่นนอกบ้าน ฝึกทักษะการเคลื่อนไหว ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่
- ฝึกให้รับผิดชอบงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ เช่น เช็ดโต๊ะ เก็บรองเท้า พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก และกล้ามเนื้อมัดใหญ่ได้ทำงานประสานกันระหว่างวายตากับมือได้ดีอีกด้วย
- ถ้าเด็กเข้าใจว่าความพยายามของตนไม่เป็นไปตามที่ผู้ใหญ่ต้องการ เด็กจะเลิกล้มความพยายามทที่จะทำอะไรใหม่ๆ
- ทันที ถ้าเด็กคนนั้นเก็บความรู้สึกนี้ไว้จนโต อาจก่อเป็นปมด้อยในภายหลังได้
สุขภาพฟันของเด็กวัย 4-5 ปี
ในช่วงวัย 4-5 ปี เด็กจะมีฟันน้ำนมครบ 20 ซี่ เด็กๆ จะชอบกินขนม ของขบเคี้ยวที่มีแป้งและน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ จะทำให้ฟันผุง่าย ดังนั้น เด็กๆ ควรได้รับการดูแลและแปรงฟันอย่างถูกวิธีและสะอาด เพราะการเสียฟันน้ำนมก่อนเวลาที่ฟันแท้จะขึ้น ทำให้ฟันแท้เกหรือซ้อนกันได้
การส่งเสริมพัฒนาการสุขภาพฟันของเด็กวัย 4 - 5 ปี
- ควรดูแลความสะอาดในช่องปากของเด็ก โดยเป็นผู้แปรงฟันอย่างถูกวิธีให้เด็กที่มีอายุ ต่ำกว่า 5 ขวบ และควรพูดคุยให้เด็กเห็นความสำคัญของการแปรงฟันและรักษาฟันให้แข็งแรง
- หัดให้เด็กแปรงฟันเอง และผู้ใหญ่ช่วยแปรงซ้ำในตอนสุดท้ายเพื่อให้ฟันสะอาด และต้องระวังไม่ให้เด็กกลืนยาสีฟัน
เด็กอายุ 4 – 5 ปี อยู่ในระยะโครงสร้าง (Structure Stage) การรับรู้และการสังเกตของเด็กวัยนี้ดีขึ้นมาก เด็กจะคอยสังเกตการณ์การใช้ภาษาของคนรอบข้าง และทดลองใช้ด้วยตนเอง
พัฒนาการทางภาษา เด็กอายุ 4 - 5 ปี
- บอกชื่อ นามสกุล และที่อยู่ได้
- รู้จักเพศของตัวเอง
- ชอบถามทำไม เมื่อไร อย่างไร และถามความหมายของคำ และมักเป็นคำถามที่มีเหตุผลมากขึ้น
- เด็กวัยนี้สามารถขยายคำศัพท์ เด็กวัยนี้สามารถขยายคำศัพท์จาก 4,000 - 6,000 คำ และสามารถพูดได้ 5-6 ประโยคต่อคำ สามารถเล่าเรื่องซ้ำ 4 -5 ลำดับขั้น หรือ 4 -5 ประโยคในเรื่องหนึ่งได้
- เข้าใจคำถามง่ายๆ และตอบคำถามนั้นได้ แม้ในเด็กบางคนอาจจะยังพูดติดอ่าง แต่ก็สามารถแก้ไขได้
- ชอบเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่คิดขึ้นมาเอง ให้คนอื่นๆ ฟัง ทั้งพ่อแม่ คนรอบข้าง และเพื่อน
- คิดคำขึ้นมาใช้โต้ตอบกับผู้ใหญ่ได้
- มักให้ความสนใจในภาษาพูดของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะคำแสลง หรือคำอุทาน
- ชอบเรื่องสนุก ตลก ชอบภาษาแปลกๆ ชอบฟังนิทานมาก และชอบฟังเพลง มักจะคอยฟังเวลาที่ผู้ใหญ่คุยกัน จดจำคำศัพท์ และบทสนทนาเหล่านั้น โดยเฉพาะคำแสลงหรือคำอุทาน
- สามารถบอกชื่อสิ่งของในภาพที่เห็นได้ หรือเล่าเรื่องที่พ่อแม่เคยอ่านให้ฟังได้ และจะเล่นเป็นสุนัข เป็ด หรือสัตว์ต่างๆ ในเรื่องนั้น พร้อมทำเสียงสัตว์เหล่านั้นประกอบได้
- สับสนระหว่างเรื่องจริงกับเรื่องเล่าในหนังสือเด็ก
การส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาของเด็กวัย 4-5 ปี
- ควรตอบคำถามของเด็กด้วยคำตอบ สั้น เข้าใจง่าย และใช้ภาษาที่ถูกต้อง
- ไม่ควรถือป็นอารมณ์เมื่อเด็กพูดคำหยาบ ไม่สุภาพต่างๆ ควรมีท่าทีไม่สนใจถ้อยคำเหล่านั้น ไม่นานเด็กจะเลิกพูดไปเอง
- สร้างทักษะพื้นฐานอื่นๆ ทางภาษาที่เกี่ยวข้องกับสติปัญญา เช่น อ่านหนังสือให้เด็กฟังเป็นประจำ
- ควรสอนให้เด็กเข้าใจจำนวนจากสิ่งต่างๆ รอบตัว เช่น ขนม 1 ชิ้น นก 2 ตัว และสอนการเพิ่มหรือลดจำนวนจากภาษาที่ใช้ เช่น "ได้เพิ่มมาอีก" หรือ "บินหายไป" เป็นต้น ความเข้าใจพื้นฐานจากสิ่งเหล่านี้ จะเชื่อมโยงไปสู่ความหมายของสัญลักษณ์ และการเรียนรู้คณิตศาสตร์ขั้นต่อไป
- เมื่อเด็กเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่คิดขึ้นมาเอง และแต่งเติมเสริมต่อ ควรปล่อยให้เด็กเล่า และไม่ตำหนิติ
- เตียน
ทฤษฎีจิตวิทยาการเรียนรู้
ทฤษฎีการเรียนรู้ (อังกฤษ: learning theory) การเรียนรู้คือกระบวนการที่ทำให้คนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ความคิด คนสามารถเรียนได้จากการได้ยินการสัมผัส การอ่าน การใช้เทคโนโลยี การเรียนรู้ของเด็กและผู้ใหญ่จะต่างกัน เด็กจะเรียนรู้ด้วยการเรียนในห้อง การซักถาม ผู้ใหญ่มักเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ที่มีอยู่ แต่การเรียนรู้จะเกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่ผู้สอนนำเสนอ โดยการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน ผู้สอนจะเป็นผู้ที่สร้างบรรยากาศทางจิตวิทยาที่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ ที่จะให้เกิดขึ้นเป็นรูปแบบใดก็ได้เช่น ความเป็นกันเอง ความเข้มงวดกวดขัน หรือความไม่มีระเบียบวินัย สิ่งเหล่านี้ผู้สอนจะเป็นผู้สร้างเงื่อนไข และสถานการณ์เรียนรู้ให้กับผู้เรียน ดังนั้น ผู้สอนจะต้องพิจารณาเลือกรูปแบบการสอน รวมทั้งการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้เรีย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)